วันวาเลนไทน์ กับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่ทุกคนอาจคิดไม่ถึง

14 กุมภาพันธ์ของทุกปี คือ วันวาเลนไทน์ หรือเป็นที่รู้จักกันว่าวันแห่งความรักและความโรแมนติก แต่แม้จะเป็นวันที่เต็มไปด้วยความสุขและการเฉลิมฉลอง แต่หากมองอีกมุมหนึ่งวันดังกล่าวก็ส่งผลกระทบไม่ใช่น้อยต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การมอบช่อดอกไม้วันวาเลนไทน์เป็นของขวัญให้กันและกันโดยไม่ได้คำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้า

ช่อดอกไม้วันวาเลนไทน์

ประเด็นหลักที่ดอกไม้เป็นหนึ่งในผลกระทบที่เกิดขึ้นในวันวาเลนไทน์ เพราะว่า ดอกไม้ส่วนใหญ่ที่ขายในสหรัฐอเมริกา จะนำเข้ามาจากประเทศต่าง ๆ เช่น โคลอมเบีย เอกวาดอร์ และเม็กซิโก ซึ่งการผลิตดอกไม้และการขนส่งดอกไม้เหล่านี้มักจะส่งผลให้เกิดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ (Carbon Footprint) หรือที่เรียกว่าปริมาณการปล่อยและดูดกลับของก๊าซเรือนกระจก

คาร์บอนฟุตพริ้นท์ เป็นปริมาณรวมของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และก๊าซเรือนกระจกชนิดอื่นๆ เช่น ก๊าซมีเทน ก๊าซหัวเราะ ที่ปล่อยออกมาจากสินค้า ตลอดจนวัฏจักรชีวิตที่มีแหล่งกำเนิดของก๊าซดังกล่าว เช่น การใช้ไฟฟ้า การใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล การผลิตในภาคอุตสาหกรรมหรือกสิกรรม เป็นต้น ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเกิดภาวะโลกร้อน และส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ สิ่งมีชีวิตต่าง ๆ และสิ่งแวดล้อม ที่นับวันยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกวัน

นอกจากนี้ ร้านดอกไม้หลายแห่งยังมักใช้บรรจุภัณฑ์แบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง เช่น กระดาษแก้วและริบบิ้น ริบบิ้น ที่ย่อยสลายได้ยากหรือไม่สามารถย่อยสลายได้เลย ซึ่งท้ายที่สุดก็จบลงด้วยการฝังกลบ และก่อให้เกิดปัญหามลพิษจากพลาสติกที่เพิ่มมากขึ้นในภายภาคหน้าด้วย

สำหรับใครที่ต้องการเฉลิมฉลองวันวาเลนไทน์อย่างมีความสุขและยั่งยืนให้กับโลกใบนี้นั้น เราขอแนะนำว่าให้ซื้อช่อดอกไม้จากร้านดอกไม้ที่ใช้วิธีการปลูกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และเลือกใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมลพิษต่อโลกให้น้อยที่สุด

แม้ว่าวันวาเลนไทน์จะเป็นช่วงเวลาแห่งความสุข ช่วงเวลาที่เราต่างมักแสดงความรักต่อคนที่เรารัก แต่สิ่งสำคัญที่ควรคำนึงถึง คือ ผลกระทบที่จะตามมาต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งเราควรจะต้องเลือกของขวัญอย่างมีสติ เพื่อร่วมมือกันลดมลพิษให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะจะทำให้โลกของเรายั่งยืน และอยู่คู่กับเราทุกคนไปนาน ๆ